เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระ ๑๕ ค่ำ วันพระใหญ่ด้วย วันพระใหญ่ เราชาวพุทธ เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วันพระเป็นวันแสวงหาบุญกุศลของเรา แต่วันพระนี้มันตรงเทศกาลไง เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลสงกรานต์มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นวิถี มันเป็นวิถีชีวิตของเรา ถ้าเป็นวิถีชีวิตของเรา มันเป็นวันขึ้นปีใหม่ วันขึ้นปีใหม่เขาให้เริ่มต้นชีวิตใหม่
เริ่มต้นชีวิตใหม่ เราจะทำบุญกุศล เพราะในพระพุทธศาสนา ลัทธิศาสนาอื่นเขาก็ทำบุญกุศลของเขา ทำบุญกุศลของเขาเพื่ออะไร ทำบุญกุศลของเขา เห็นไหม ในครอบครัว สถาบันที่มั่นคงที่สุดคือสถาบันครอบครัว ถ้าในครอบครัวใดมีความมั่นคง ในครอบครัวใดมีความไว้เนื้อเชื่อใจ ในครอบครัวใดที่ยังสนทนาปราศรัยกันได้ ในครอบครัวถ้าพูดกันไม่ได้ มันมีการขัดแย้งกันในครอบครัว ในครอบครัวนั้นมันจะไม่มีความสุข
ฉะนั้น ความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามันมีความขัดแย้ง มีต่างๆ เพราะอะไร เพราะเราต้องการปรารถนาของเรา เราต้องการปรารถนาของเรา เขาก็ต้องการปรารถนาของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาต้องการปรารถนาของเขามันก็มีความขัดแย้งใช่ไหม เราก็ลดลง ลดทิฏฐิมานะ ลดความเห็นของเราลง เราพยายามแก้ไขเขา เดี๋ยวเขาจะกลับขึ้นมาดีได้ไง แต่ถ้าเราเอาน้ำมันสาดเข้าไป มันไม่มีผลดีหรอก ความรุนแรงไม่สร้างผลดีกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ความรุนแรง เห็นไหม มันมีแต่ความเข้าใจไง
วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถ้าเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พระพุทธศาสนานี่สุดยอด ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมคืออะไร ยอดเยี่ยมคือไม่ต้องมาเกิดไง ไม่ต้องมาแบกรับภาระความรกรุงรังอย่างนี้อีกไง ความแบกรับภาระความรกรุงรังที่เราปรารถนา ถ้าเราปรารถนา ถ้าใครสมความปรารถนา เป็นความสุขๆ มันเป็นวิถีชีวิต
หน้าที่การงานของคน อาชีพของคน ดูสิ วิถีชีวิตของพระ เวลาแจกอาหาร นี่ไง วิถีแห่งกรรมฐานเขาไม่คลุกคลี เขาไม่มั่วสุม ถ้าไม่มั่วสุม สิ่งใดที่มันเป็นความจำเป็นใช่ไหม คนเราเกิดมานะ มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระก็ต้องมีอาหารไปยังชีพ พอยังชีพขึ้นมา ถวายทานๆ ถึงเวลาแล้วไม่มีมารยาสาไถย ไม่มีมาลอยหน้าลอยตา เรามีความเจตนามาจากบ้านแล้วนะ เราก็ถวายด้วยหัวใจของเรา
เรายื่นถวายไปแล้ว ผู้ที่เขารับแล้วเขาจะตักอาหารใส่บาตร ตักอาหารใส่บาตรแล้วแต่ธาตุขันธ์ของคนใช่ไหม บางคนแพ้สิ่งใด บางคนไม่ต้องการสิ่งใด การแพ้นะ ไม่ใช่ปรารถนาเอาว่าเอาพุงใหญ่พุงโต กินอย่างหมู กินเสร็จแล้วก็นอน ไม่ใช่อย่างนั้น เขาพิจารณาของเขา
วิถี วิถีชีวิตของโยม วิถีชีวิตของพระ เห็นไหม วิถีชีวิตของพระ เราทำเพื่อวิถีชีวิตของพระ ถ้าเราทำเพื่อวิถีชีวิตของพระแล้ว สิ่งที่กระทำๆ มันเป็นวัฒนธรรมของเราไง มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี
ช่วงนี้เป็นช่วงวันสงกรานต์ พอสงกรานต์เขาให้กลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ ให้มีความกตัญญูกตเวที พ่อแม่ปู่ย่าตายายอยู่ที่บ้าน ได้เห็นลูกหลานขึ้นมามันอบอุ่นนะ ความอบอุ่น มันมีความอบอุ่นในครอบครัว ถ้ามีความอบอุ่นในครอบครัว เราระลึกถึงกันนะ มันไม่มีสิ่งใด มันจะอัตคัดขาดแคลนก็ไม่เป็นไร ขอให้กลับมาเห็นหน้ากันเถิด ไม่ต้องเอาสิ่งใดมาเพื่อเชิดหน้าชูตา แต่หัวใจนี้สำคัญๆ ความระลึกถึงกันอยู่อันนั้นสำคัญมากนะ ถ้าสำคัญมาก แล้วเวลาพระพุทธศาสนา วิถีชีวิต แล้วชีวิตจริงๆ ล่ะทุกข์ไหม ชีวิตจริงๆ มันอยู่ที่ไหน ความจริงๆ มันอยู่ที่ไหน
ความจริงมันซ้อนๆๆ กันนะ ผลประโยชน์มันทับซ้อนๆ กัน เราก็บอกว่าเราอยากจะมั่นคงกับทางโลกๆ...ทางโลกมั่นคงมันเป็นการตลาด การตลาดมั่นคง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนถึงวิถีแห่งความจริงนะ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีความมั่นคง ไม่มีความแน่นอน แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ๆ เป็นทุกข์เป็นยาก เวลาอะไรพลัดพรากไปแล้วเป็นทุกข์เป็นยาก ความทุกข์นั้นเป็นอนัตตา ไม่มี
ความทุกข์นั้นเป็นอนัตตา ความทุกข์ที่เรายึดมั่นถือมั่น เพราะอะไร เพราะเรามีสิ่งใดสมความปรารถนา เราก็มีความสุข สิ่งใดที่ไม่สมความปรารถนา เราก็มีความทุกข์ แล้วความทุกข์ เราก็ยึดมั่นถือมั่น ทั้งๆ สิ่งที่เราปรารถนา ยศถาบรรดาศักดิ์สิ่งใดมันไม่จริงสักอย่างหนึ่ง ไม่จริงสักอย่างหนึ่งก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราๆ ไง มันเป็นอนิจจัง มันก็แปรสภาพของมันไป มันแปรสภาพของมันไป เป็นความทุกข์ ความทุกข์นั้นมันก็ไม่ใช่ความจริง ความทุกข์นั่นก็ไปยึดมันอีก ยึดมันอีก ความทุกข์เป็นของเรา เราเป็นความทุกข์มาก ยึดมาก เสียใจมาก เดือดร้อนมากๆ
เดือดร้อนมากขนาดไหน ถ้ามีใครปลอบหัวใจ ใครมีความปลุกปลอบ ปีสองปีมันก็ลืม ความทุกข์มันก็หายไปแล้ว มันเป็นอนัตตา แต่มันเป็นอนัตตาโดยสัจจะความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่เป็นอนัตตากับเรา เรารากเลือด เราทุกข์ยากจนกระอักเลือด อนัตตาตรงไหน มันจะเป็นอนัตตาๆ นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนตรงนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนเรื่องอย่างนี้ไง นี่วิถีแห่งชาวพุทธ วิถีแห่งพุทธะๆ พุทธะมันอยู่ที่ไหน พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โยมจากบ้านมาวัดมาภาวนากันนี่ โยมยังหาตัวตนของตนไม่เจอ ถ้าใครหาตัวตนของตนเจอ ทำความสงบของใจเข้ามาได้ มันเกิดความมหัศจรรย์ไง
พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่ใจของสัตว์โลก แล้วเวลาเราสอนเข้ามา เราสอนเข้ามาที่อารมณ์ สอนเข้ามาที่ความรู้สึก เพราะเราเห็นวัฒนธรรม ดูวัดของเราสิ ฝรั่งมาเที่ยวกัน โอ๋ย! สวยงามทั้งนั้นเลย มีชื่อเสียงทั้งนั้นน่ะ มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากวัฒนธรรม ผู้ที่จิตใจเขาเป็นบุญกุศลเขาได้ก่อร่างสร้างขึ้นมา มันสวยงามไปหมด มันดูดีไปหมด เห็นไหม มันดูดีไปหมด
นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวา เรามาหาสิ่งใด สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมมันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากความคิด เกิดมาจากเจตนาของคน แล้วเจตนาของคน เรามาวัดมาวาเราก็มาด้วยเจตนาของเรา แต่เราหาตัวเราไม่เจอไง ถ้าเราหาตัวเราไม่เจอ เพราะเราทำความสงบของใจเราไม่ได้ไง ถ้าทำความสงบของใจเราเข้ามาได้ นี่วัดกรรมฐานๆ วัดกรรมฐานเขาถึงไม่คลุกคลีกันไง เขาถึงพยายามเป็นสัปปายะ หาที่สงัด หาที่วิเวกเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าใครค้นคว้าหาใจของตน นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล
แก้วแหวนเงินทองขึ้นมาแล้วแต่มันด้อยค่า แต่หัวใจของคนมันไม่มีความด้อยค่า แก่เฒ่าขนาดไหนคืออายุขัย หัวใจไม่เคยแก่ หัวใจมันแก่เป็นไหม ถ้าหัวใจมันแก่เป็น เวลามันแก่แล้ว มันรู้วาระของมันแล้วมันต้องมีสติปัญญาของมันสิ นี่หัวใจมันแก่ไม่เป็นไง เว้นแต่เด็ก เด็กอยากเป็นผู้ใหญ่ไวๆ เพราะมันอยากเป็นอิสระ ไม่อยากให้ใครครอบงำ เด็กมันอยากจะโตขึ้นมา แล้วพอโตขึ้นมาแล้วล่ะ ทุกข์น่าดูเลย เพราะโตแล้วต้องรับผิดชอบ เรามีครอบครัว เรามีสถานะความรับผิดชอบของเราใช่ไหม
นี่ไง พระพุทธศาสนาที่ว่าสุดยอดๆ ตั้งแต่วิถีแห่งพุทธะ วิถีแห่งชาวพุทธ เทศกาลสงกรานต์ เราก็ทำบุญกุศลเพื่อความสุข ความสงบ ความดีงามในครอบครัวของเราก่อน ปู่ย่าตายายเขาเอากระดูกอัฐิไปวัด ไปบังสุกุล เขาระลึกถึงนะ ระลึกถึงรากเหง้าของเราไง เรามีรากเหง้า เรามีที่มาที่ไป เรามีมาทั้งนั้นน่ะ นี่สิ่งที่ทำบุญกุศลเพื่อครอบครัว แล้วพระพุทธศาสนาสอน นั่นน่ะวิถีชีวิต
แล้วชีวิตจริง ชีวิตจริงก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ชีวิตจริงก็สิ่งที่ว่าเราจะต้องไปตามเวรตามกรรมของเราไง ถ้าไปตามเวรตามกรรมของเรานะ คนที่มีสติปัญญาเขาจะสร้างแต่คุณงามความดีของเขา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ใครจะทำเลวร้ายอย่างไรเรื่องของเขาว่ะ เราจะทำคุณงามความดีกัน เราจะทำคุณงามความดีกัน
เราทำคุณงามความดี คุณงามความดีให้เป็นสัจจะเป็นความจริง ไม่ใช่ทำคุณงามความดีแบบโลกๆ ไง ทำคุณงามความดีแบบโฆษณาชวนเชื่อไง ไอ้อย่างนั้นมันโฆษณากันไปเป็นกระแสไง นี่ไง นี่วิถีแห่งพุทธะ มันวิถีชีวิตของสังคม
แต่วิถีของเรา สงบระงับ เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง เราค้นคว้าหาสัจจะความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามาที่หัวใจของเรานี่ ถ้าชี้เข้ามาที่หัวใจของเรานี่ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใน ๓ โลกธาตุนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งได้เลย เห็นไหม ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติ ระลึกถึง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันไม่ได้ก็หายใจนึกธัมโม สังโฆ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา
ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สิ่งที่เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลอดภัย ปลอดภัยที่ไหน ปลอดภัยที่มันไม่ไปกว้านเอาอะไรมาเผาลนตัวเองไง เวลาคิด คิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่รู้ว่าอวิชชาความไม่รู้ของตนมันฉุดกระชากลากไปขนาดไหน “ธรรมะเป็นอย่างนั้น ธรรมะเป็นอย่างนั้น”...เป็นอย่างไร เป็นอะไร เอาความจริงมาจากไหน ไม่มีความจริงเป็นสัจจะความจริง
ถ้าเป็นสัจจะความจริง เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาเดี๋ยวใครตักอาหารแล้ว ในสำรับของตน ใครมีอาหารสิ่งใดในจานของตน ตักใส่ปากของตน รสชาติอาหารอันนั้นมันก็เข้าสู่ลิ้นของตน หัวใจได้สัมผัส สติ สติมันก็ยับยั้งความคิดความฟุ้งซ่านได้ทั้งหมด ความคิดความฟุ้งซ่านในหัวใจของเรานี่ ที่มันเผาลนในใจของเราอยู่นี่ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันยับยั้งได้หมด อ๋อ! สติเป็นอย่างนี้ๆ รู้จักสติ แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์นะ จากสติเป็นมหาสติ มหาสติมันดีกว่านี้อีกหลายเท่า มันมีสติอัตโนมัติอีกนะ
เขาว่า “สติตัวจริง สติตัวปลอม”...ไม่ใช่หรอก มิจฉาหรือสัมมา มิจฉาสติ สัมมาสติ ถ้าเป็นสัมมาสติถูกต้องดีงามทั้งนั้นน่ะ มันมีผิดกับถูก ถ้าเป็นมิจฉามันก็ผิดไปหมดเลย ถ้าเป็นสัมมาก็ถูกไปหมดเลย ถ้าอัพยากฤต ซื่อบื้อๆ น่ะอัพยากฤต ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย
นี่ไง สิ่งที่มันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะมันก็ยับยั้งความฟุ้งซ่านของเราได้ ถ้าความฟุ้งซ่านของเรา ยับยั้งสิ่งที่มันยุแหย่ในหัวใจเราได้ ถ้ายับยั้งสิ่งที่มันยุแหย่หัวใจเราได้ มันเหมือนนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า เหมือนคนเราแบกก้อนหินมาก้อนหนึ่ง แบกของหนักมาทั้งชีวิต แล้ววางลงได้ๆ สิ่งที่มันพัวพันในหัวใจที่มันบีบคั้นในหัวใจ ถ้ามันวางลงได้ๆ วางลงได้ด้วยสัมมาสมาธิ เพราะมันมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองมัน
ถ้ามันวางแล้วก็ยังหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธต่อไปจนกว่ามันพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้ เป็นอิสระ เป็นอัปปนาสมาธิ นั่นน่ะสำคัญมาก ฐีติจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส
จิตผ่องใสคืออวิชชา จิตผ่องใสนั่นน่ะคือพญามาร ผ่องใสๆ เพราะผ่องใสเดี๋ยวมันก็จะเศร้าหมอง ผ่องใสเดี๋ยวมันก็จะไหลลงไปอีกแล้ว เห็นไหม มันจะผ่องใสขนาดไหนมันต้องมีสติมีปัญญารักษา รักษาเพราะอะไร เพราะที่นั่นพอมันผ่องใส กิเลสมันสงบตัวลงชั่วคราว กิเลสมันสงบตัวลงชั่วคราว ทางทฤษฎีเขาบอกว่า หินทับหญ้าๆ ไอ้พวกสมถะๆ ไอ้พุทโธ ไอ้พวกหินทับหญ้า
มึงไม่ได้ทับหรอก บ้านมึงรก รกทั้งบ้านเลยแล้วกันแหละ ถ้ามึงได้ทับไว้ บ้านมึงจะสะอาด ถ้าบ้านสะอาด มันมีพื้นที่ว่างให้ได้จัดการ ทำสิ่งใดให้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจขึ้นมาได้ หินทับหญ้าๆ ผู้ที่เขามีสติปัญญาของเขา เขาใช้วิปัสสนาของเขา ถ้าเขาใช้วิปัสสนาของเขา ถ้าไม่ได้หินทับหญ้าเลย มันมีแต่หญ้าเขาเอาไว้เลี้ยงวัว หญ้าเขาเอาไว้เลี้ยงวัว ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของคน ที่อยู่อาศัยของคน หินทับหญ้า หินทับหญ้ามันก็เป็นหินทับหญ้า มันเป็นข้อเท็จจริงของมันอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมามันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา
นี่ถ้าพูดถึงวันนี้วันพระ วันพระเราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพุทธะของเรา ถ้าระลึกถึงพุทธะของเรา ถ้าจิตมันสงบมันจะมีความมหัศจรรย์ในใจของเรา ถ้ามหัศจรรย์ในใจของเรา
นี่พูดถึงว่า เราเป็นชาวพุทธ ถ้ามันเทศกาลสงกรานต์มันก็เป็นเทศกาล มันเป็นเทศกาลเทศกาลหนึ่ง ถ้าเป็นเทศกาลหนึ่ง เรามีสติปัญญาของเรา ไม่ไปเหลวไหลไปกับเขา เราเอาแต่คุณงามความดีไง
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ กินไก่เขากินแต่เนื้อไก่ กระดูกไก่เขาไม่กิน กินปลาเขากินแต่เนื้อปลา เขาไม่กินก้างปลา ก้างปลากินไม่ได้ ในทุกเทศกาลมันก็มีทั้งนั้นแหละ เราแสวงหาแต่ประโยชน์ สิ่งใดที่เกิดโทษ สิ่งใดที่ทำแล้วมันไม่ดีเลย ไม่ทำๆๆ
ถ้าเรามีสติปัญญา เราทำของเราอย่างนั้น มันเป็นวิถีชีวิต มันเป็นวัฒนธรรม แต่หัวใจของเราน่าสงสารนะ ไอ้ว้าเหว่น่ะ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ เราเกิดมาจากไหน เราจะช่วยเหลือเจือจานกันได้ตรงนี้ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยแทนกันได้ ใครจะตายแทนกันได้
เวลาเรามีคุณธรรมนะ พระอานนท์ ถ้าเวลาเขาไสช้างนาฬาคิรีออกมา ขวางช้างแทน สละชีวิตแทน นี่เราคิดได้ แต่คนเรามีเวรมีกรรม คนเรานะ มันมีอายุขัย คนคนนั้นต้องเป็นไปตามกรรม กรรมคือการกระทำของเขา ใครรักษาสุขภาพดี ใครดูแลหัวใจดี สุขภาพเขาก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินมาก ถ้าเขารักษาสุขภาพใจที่ดี เขาก็มีความสุขของเขา มีความสุขของเขานะ แล้วพอถ้ามันสุขภาพกายก็ย่ำแย่ สุขภาพจิตก็ย่ำแย่ ย่ำแย่ไปทั้งนั้นน่ะ นี่ไง สิ่งนี้มันเป็นกรรมของสัตว์ๆ ไง อยู่ที่การรักษา พอการรักษาเข้ามานี่ เข้ามาสติปัญญาของเรานี่ เข้ามาการกระทำของเรานี่
วันนี้ขวนขวายกันมาๆ มาทำบุญกุศลของเรานี่ นี่มาทำบุญกุศล มาทำบุญกุศลตั้งแต่หัวใจมันอยากมา หัวใจมันอยากมาคือเจตนา เจตนาขวนขวายพากันมา การกระทำนั้นมันเป็นบุญกุศลทั้งนั้น ถ้าบุญกุศลทั้งนั้น ฟังธรรมๆ ตอกย้ำถึงสติสัมปชัญญะของเรา
บุญมันคืออะไร บุญน่ะ บุญมันคือความสุขใจ บุญมันคือความตั้งมั่นของเรา ไม่วอกแววอแว ไม่เหลวไหลไปกับใครทั้งสิ้น มันมีความตั้งมั่นของมัน สุคโต ถ้าจิตปัจจุบันนี้เป็นสุคโต เวลาตายมันไปไหน ถ้ามันตาย สิ่งที่เบา เวลามันตายมันก็ลอยขึ้นที่สูงใช่ไหม ก้อนหินที่มันหนักหน่วง เวลามันตายมันก็ตกลงต่ำไง
นี่ไง สุคโต ถ้าจิตเป็นสุคโต สวรรค์ในอก นรกในใจไง สวรรค์ในอก นรกในใจ พูดถึงถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ ถ้าเป็นจริงขึ้นมา มันมีรสมีชาติ ถ้าไม่มีรสไม่มีชาติ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของสติธรรม รสของสมาธิธรรม รสของปัญญาธรรม ปัญญาที่มันฟาดฟัน รสในโลกนี้ ในโลกนี้เขามีอะไรที่มันยอดเยี่ยมนั่นน่ะ รสของธรรมชนะหมด มันชนะในหัวใจของเรา
พอมันชนะเสร็จแล้ว อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน หัวใจที่มันชนะทุกๆ อย่างแล้ว โอ้โฮ! มันสุดยอด อยู่ที่ไหนก็มีความสุขไง อยู่ที่ไหนก็ยอดเยี่ยมของมันไง ใจนี้สำคัญมาก
แต่ตอนนี้มันเป็นขี้กลาก ลามปาม หัวใจเราขี้กลาก มันไม่มีความสุขหรอก มันอยู่ในหัวใจเราทั้งนั้นน่ะ แต่เราพยายามสำรอก ตั้งสติ ทำบุญกุศลก็เพื่อเหตุนี้ บุญกุศลมันเป็นการสร้างอำนาจวาสนาบารมี คำว่า “บารมี” คนที่มีบารมีเขาจะตั้งมั่น คนที่มีบารมี ใครจะยุแยงตะแคงรั่ว มันมีจุดยืนของมัน ถ้ามีบารมีนะ ใครจะติฉินนินทา ยิ้ม แต่คนที่ไม่มีบารมีนะ ไม่ต้องเข้ามาหรอก ลมพัดมันก็ล้มแล้ว ไม่มีใครว่า มันก็คิดเอาเองนะ เขาว่ากูๆ นี่คนที่ไม่มีบารมี
นี่ไง เรามาทำบุญกุศลของเราเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเราให้เรามีจุดยืนไง แม้แต่เขาติฉินนินทายังไม่หวั่นไหว เพราะมันปากเขา จริงหรือไม่จริงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาใครพูด เขาพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันจริงหรือเปล่า มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า แล้วมันจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีบารมีนะ คำว่า “บารมี” คนที่มันมีเครดิต คนที่ทำคุณงามความดีมา คนอื่นเขาไม่เชื่อหรอก เขาเชื่อการกระทำของคนคนนั้น
นี่ไง เราทำความดีๆ ที่เรามาทำกันอยู่นี่เราสร้างอำนาจวาสนาบารมี ถ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมีแล้วมันยอมรับความคิดต่าง ยอมรับความเห็นของเขา แล้วเอามาวิเคราะห์วิจัยของเราเอง เราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนเลือกๆๆ เราเป็นคนเลือกเอง จริงหรือจริง จริงหรือเท็จ
แล้วเวลาภาวนาไปแล้วนะ ถ้าคนภาวนาเป็น จริงอย่างเดียว สติก็สติจริงๆ ถ้าสติจริงๆ มันถึงยับยั้งความคิด ยับยั้งความฟุ้งซ่านได้ ถ้าเป็นสมาธิจริงๆ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันสุขจริงๆ ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้ามันเป็นความจริงจริงๆ อยู่ในหัวใจจริงๆ แล้ว แล้วถ้าเป็นภาวนามยปัญญาจริงๆ เป็นความจริงขึ้นมาแล้วนะ อย่างอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้เลย ไร้สาระ ไร้สาระเพราะสมมุติ บัญญัติ วิมุตติ
สมมุติคือเรื่องโลกๆ ที่มันแหกปากกันอยู่นี่ สมมุติ
ญญัติคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิมุตติในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว จริงแท้ๆ นี่คุณค่าของพระพุทธศาสนา
ฉะนั้น พูดถึงว่า เป็นวิถีแห่งพุทธะก็ชีวิตของเรา วัฒนธรรมของเรา ถ้าใครจะได้ความจริงขึ้นมา ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งหาหัวใจของตน
ได้หัวใจของตนแล้ว หินทับหญ้าๆ ฝึกหัดบ้านของเรา ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจนั้น นี่มันเป็นอกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แต่คุณธรรมอันนั้นตายตัวแน่นอน คุณธรรมอันนั้น ไม่ใช่อนิจจัง ไม่ใช่อนัตตา เป็นอกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อะคือเป็นอื่นไปไม่ได้ อรหันต์ๆ ก็อะเหมือนกัน อรหันต์ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หันไปไหน อยู่กับพุทธะแท้ๆ เอวัง